วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันแห่งความรัก กับ ความรัก

      ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวคริสต์ นั่นก็คือ"วันวาเลนไทน์" หรือ"วันแห่งความรัก"นั่นเอง  สำหรับในประเทศไทย เทศกาลแห่งความรักนี้ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ไม่ว่าจะในหมู่ชาวคริสต์ หรือชาวพุทธก็ตาม ซึ่งปกติชาวพุทธก็ปรับตัวเข้ากันได้กับทุกเทศกาลอยู่แล้ว
       วันวาเลนไทน์เป็นคล้ายวันเสียชีวิตของเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) นักบุญแห่งกรุงโรม ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น โรม ต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมด อย่างสิ้นเชิง   
        แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกที่คุมขังนักบุญวาเลนไทน์นั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ นักบุญวาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง
        ในทางพุทธศาสนาก็ได้ยอมรับธรรมชาติของมนุษย์ปุถุุชน เรื่องของความรักเป็นเรื่องของธรรมชาติอย่างหนึ่งของปุถุชน ทางพุทธศาสนาจะมองว่าในธรรมชาตินั้นมีข้อบกพร่องหรือมีโทษอย่างไร ก็จะสอนถึงการปรับปรุง พัฒนาหรือทำให้ดียิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดโทษแก่ตนเอง แก่ผู้อื่นและแก่สังคม เพื่อให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีงามอันเป็นประโยชน์เกิ้อกูลกัน อย่างน้อยที่สุดทำให้คนคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยเข้าถึงจิตใจของแต่ละคนและประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เกี่ยวข้อง เช่น บุตร วงศาคณาญาติ เพื่อนฝูง และจะขยายสู่สังคมวงกว้างด้วย
 
         พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)* ได้อธิบายสรุปได้ว่า ความรักมีสองประเภท คือ ความรักระหว่างเพศหรือความรักที่ปรารถนาจะเอาความสุข กับความรักที่ปรารถนาจะให้เขามีความสุข

         ความรักประเภทที่หนึ่ง ความรักที่ปรารถนาจะเอาความสุข จะเป็นความรักระหว่างเพศหรือความรักทางเพศ ความรักประเภทนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ความชื่นชม ติดใจ หรือความปรารถนาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกายของผู้ที่ตนรัก ความรักแบบนี้มีลักษณะสำคัญคือต้องการหาความสุขให้แก่ตนเอง หมายความว่าที่รักเขานั้นก็เพื่อเอาเขามาเป็นเครื่องมือบำรุงบำเรอความสุขแก่ตนเอง 
         เนื่องจากความรักประเภทนี้มุ่งที่จะเอาความสุขให้แก่ตัว จึงมีลักษณะเฉพาะเจาะจง โดยมีบุคคลที่ชอบใจถูกใจเป็นเป้า และเป็นความยึดติดเฉพาะตัว มีการยึดถือเป็นของตัว  ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแค่ผู้เดียว ไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกี่ยว ให้ใจของเขาอยู่กับเราอาใจใส่เรา ไม่ให้ปันใจไปยังผู้อื่น ทำให้เกิดความหึงหวง หวงแหน
          ความรักประเภทนี้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจสนองความต้องการทางกายและจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ความรักก็จะเริ่มโรยรา ความน่าเบื่อก็จะเกิดขึ้นระหว่างกัน อาจจะทำให้เกิดการทะเลาะและเลิกราไปในที่สุด  ความรักประเภทนี้จึงเป็นความรักที่ไม่ยั่งยืน เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยต่างๆนานา
          ความรักประเภทที่สอง เป็นความรักที่อยากให้เขามีความสุข เป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี เรารักใครก็อยากให้คนนั้นมีความสุข  อยากทำให้เขามีความสุข และอยากทำอะไรๆให้เขามีความสุข           
          การทำให้เขามีความสุขนั้น การกระทำที่สำคัญก็คือการให้ การให้เป็นการปฏิบัติที่ชัดเจนและต้องใช้มากที่สุดในการทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่ว่าการให้ในที่นี้ไม่ใช่เป็นการอ่อยเหยื่อหรือเอาอกเอาใจโดยหวังผลตอบแทนบางอย่าง การให้แบบนั้นเมื่อไม่ได้มาก็จะเสียใจ เสียดาย คับแค้นใจ เพราะเป็นการให้เพื่อจะเอา ไม่ได้ปรารถนาดีอย่างแท้จริง
           ความรักประเภทที่หนึ่งนั้นการได้จึงจะเป็นความสุข แต่ในแบบที่สองการให้ก็เป็นความสุข หรือพูดสั้นๆว่า ความรักที่เป็นการเอากับความรักที่เป็นการให้
           ถ้าเรารักเขา อยากให้เขามีความสุขแล้ว เมื่อเขามีความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นมา ความรักก็จะกลายเป็นความสงสาร อยากช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์ ไม่เบื่อหน่ายรังเกียจ ซึ่งต่างกันอย่างชัดเจนกับความรักประเภทที่หนึ่ง
           ความรักประเภทที่หนึ่งเป็นความต้องการที่จะหาความสุขให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวแบบหนึ่งนั่นเอง พอเขามีความทุกข์ลำบากเดือดร้อน หรืออยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสนองความต้องการของเราได้ เราก็เบื่อหน่ายรังเกียจ 
           ความรักประเภทที่หนึ่ง ทางพระเรียกว่า"ราคะ" หรือ"เสน่หา" ส่วนความรักประเภทที่สองเรียกว่า"เมตตา"ผนวกกับ"ไมตรี" และ"เมตตา" จะกลายเป็น"กรุณา" โดยอัตโนมัติเมื่อคนที่เรารักเป็นทุกข์หรือลำบากเดือดร้อน
           ความจริงทุกๆวันควรเป็นวันแห่งความรัก แต่ไหนๆก็ถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์เป็นวันแห่งความรัก ก็ถือโอกาสนี้เขียนถึงเรื่องของความรัก ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความรักทั้งแบบที่หนึ่งและพัฒนาเป็นความรักแบบที่สองนะครับ

---------------
           * พระพรหมคุณาภรณ์  ธรรมกถาในวันมาฆะบูชา 2544 เรื่อง "ความรักจากวาเลนไทน์สู่ความเป็นไทย" 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น