กลอนบทดอกสร้อยเป็นกลอนอีกลักษณะหนึ่งที่มีความนิยมแต่งกันมากในสมัยก่อน การแต่งกลอนดอกสร้อยส่วนใหญ่ใช้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นที่สามารถจบลงอย่างสั้นๆ
กลอนดอกสร้อยหนึ่งบท จะมีสี่คำกลอน หรือแปดวรรค ขึ้นต้นด้วยคำคำหนึ่ง โดยมีคำว่า"เอ๋ย"คั่น และตามด้วยคำแรกที่มีคำขยายอีกคำหนึ่ง เช่น น้ำเอ๋ยน้ำท่วม น้ำเอ๋ยน้ำตา เป็นต้น และในวรรคสุดท้ายของบท จะจบด้วยคำ"เอย"
กลอนบทดอกสร้อยหนึ่งบท ถ้าำไม่นับวรรคแรกแล้วก็เหมือนกับกลอนสุภาพ ๒ บท ลักษณะของสัมผัส ความไพเราะและแง่งามต่างๆ เช่นเดียวกับกลอนแปด
ตัวอย่างบทดอกสร้อย(ของเก่า)
จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ใครขอข้าวขอแกงท้องแห้งหนอ
ร้องจนเสียงแห้งแหบถึงแสบคอ จันทร์จะขอให้เราก็เปล่าดาย
ยืมจมูกท่านหายใจเห็นไม่คล่อง จงหาช่องเลี้ยงตนเร่งขวนขวาย
แม้นเป็นคนเกียจคร้านพานกรีดกราย ไปมัวหมายจันทร์เจ้าอดข้าวเอย
(นายทัด เปรียญ แต่ง )
ในบล็อกนี้ จะทะยอยเขียนบทดอกสร้อย ทะยอยลงในหน้านี้ในโอกาสต่อไปนะครับ
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
กลอนสักวา
กลอนสักวา (สัก-กะ-วา] เป็นร้อยกรองประเภทกลอนชนิดหนึ่ง หนึ่งบทมี สี่คำกลอนหรือแปดวรรค ขึ้นต้นด้วยคำ 'สักวา' และลงท้ายตอนจบบท(วรรคที่๘)ด้วยคำ 'เอย'
กลอนสักวาถูกนำมาใช้ทั้งแบบที่เป็นบทประพันธ์ธรรมดา ของผู้ที่มีความสามารถทางด้านการประพันธ์ และนำมาใช้เป็นการละเล่นโต้ตอบกันระหว่างผู้เล่นหลายคน ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางด้านร้อยกรอง และยังต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณของผู้เล่น ที่จะสามารถโต้ตอบกันได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
การเล่นสักวานี้เป็นที่นิยมกันมากในสมัยโบราณ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความสามารถทางด้านกวีนิพนธ์ที่โดดเด่นและสนุกสนาน ทั้งผู้เล่นและผู้ฟัง
ในสมัยโบราณ มีการเล่นสักวา การเล่นอาจะเล่นบนเรือนที่ส่วนใหญ่จะเป็นเรือนแพหรือเรือนริมน้ำ
หรือ เล่นกันบนเรือ โดยลงเรือกันไปเป็นกลุ่มๆ หรือเป็นคณะ แต่ละกลุ่มหรือคณะ มีผู้เล่นสักวา นักร้อง นักดนตรี แล้วแต่งบทสักวาโต้ตอบกัน การโต้ตอบอาจจะเป็นการโต้ตอบกันตามธรรมดา หรือเลือกเอาวรรณคดีต่างๆ มากันเล่นเป็นตอนๆ
การเล่นสักวาทางเรือนั้นจะเล่นกันในหน้าน้ำ ประมาณเดือน 11 เดือน 12 ช่วงฤดูน้ำหลาก มักเล่นกันในโอกาสเทศกาลทอดกฐินทอดผ้าป่าหรือลอยเรือเที่ยวทุ่ง เมื่อไปพบกันก็จะลอยเรือมารวมกันเล่นกลอนสักวา
การเล่นสักวานี้สันนิษฐานว่าเป็นที่นิยมเล่นกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีปรากฏหลักฐานในเอกสารโบราณต่างๆ จนกระทั่งถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 การเล่นสักวาทางน้ำได้หยุดไปเมื่อสังคมเปลี่ยนไป การคมนาคมทางน้ำนั้นมีน้อยลง ผู้คนเปลี่ยนการคมนาคมในชีวิตประจำวันมาเป็นทางบกเป็นส่วนใหญ่หรือทางอากาศ การคมนาคมหรือการละเล่นทางน้ำจึงลดน้อยหรือหยุดลงไป
การเล่นสักวาในสมัยปัจจุบัน จะการเล่นในอาคารสถานที่บนบก ตามสภาพของสังคมในปัจจุบัน และการเพิ่มการแสดงประกอบการเล่นสักวาขึ้นมาอีก เรียกว่าสักวาออกตัว(แสดง) ซึ่งนอกจากจะได้อรรถรสทางด้านภาษาจากการเล่นสักวา แล้วยังได้อรรถรสจากการบรรเลงดนตรี ขับร้อง และการร่ายรำอีกด้วย
ลักษณะของกลอนสักวา กลอนสักวาบทหนึ่งมี ๘ วรรค หรือ ๒ คำกลอน วรรคหนึ่งใช้คำ ตั้งแต่ ๖-๙ คำ ถ้าจะแต่งบทต่อไปต้องขึ้นบทใหม่ ไม่ต้องร้อยสัมผัสข้องกับบทต้น กลอนสักวาต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า "สักวา" และลงท้ายด้วยคำว่า"เอย" ในวรรคสุดท้ายหรือวรรคจบ ในด้านสัมผัสและความไพเราะและลักษณะแง่งามของกลอนสักวาเหมือนกับกลอนสุภาพ
ตัวอย่างกลอนสักวา (ของเก่า)
สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
(พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ )
ในบล็อกนี้จะเน้นบทร้อยรองที่เป็นกลอนสักวา และจะทะยอยเขียนในหน้านี้เรื่อยๆ ในโอกาสต่อไป นะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)