วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ป้องภัย


 เรารู้จักป้องกันภัยในธรรมชาติ

ยามฝนสาดแดดส่องปกป้องไหว

โดยไม่หวั่นยุ่งยากลำบากใจ

ผ่านพ้นไปทุกกรณีอย่างดีงาม


แต่กับภัยในตัวตนบนความคิด

มีถูกผิดดีร้ายพาน่าเกรงขาม

เมื่อใดที่เผลอจิตตรรกผิดความ

แล้วเป็นตามที่ตรรกนั้นก็อันตราย

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565

มองนอกมองใน


 มองภายนอกหลอกตาว่าแตกต่าง

เห็นเรือนร่างผิดแผกจำแนกหมาย

นอกไม่นำจำลองลักษณ์จำหลักลาย

ไม่อาจทายจากภายนอกบอกเนื้อใน


เพราะรูปลักษณ์ภายนอกไม่บอกเนื้อ

จะรู้เมื่อได้มองเห็นเป็นจริงไฉน

อาจเหมือนกันหรือต่างห่างกันไป

อย่าเชื่อใจเพียงภายนอกอาจหลอกตา


แท้นอกในไม่ได้หลอกบอกรูปลักษณ์

ย่อมประจักษ์ทั้งนอกในใช่ปัญหา

จะรู้เห็นส่วนงามสวยด้วยปัญญา

ถ้าหากว่าไม่ตั้งธงบงการใจ

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565

กิจกรรมเก็บภาพ


 มีกิจกรรมทำได้ทำไปเรื่อย

ยังไม่เหนื่อยยังไม่ล้าพาสนุก

อายุมากมิเป็นไรใจทันยุค

มีความสุขอันควรมีและดีงาม


หลายสิ่งที่จำได้ไม่ครบถ้วน

ก็สมควรใช้เครื่องมือถือแบกหาม

เก็บภาพแทนการจำทั้งคำความ

บันทึกตามเหตุการณ์ที่ผ่านไป


เป็นข้อดีที่ให้กล้องเกี่ยวคล้องภาพ

ซึ่งตนทราบและบ่งชี้ว่าที่ไหน

สื่อความหมายกิจกรรมทำอะไร

เก็บเป็นไฟล์ดิจิตัลพอทันยุค


วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ให้รู้ทัน


 ทุกครั้งที่นั่งมองนั่งตรองคิด

ปล่อยให้จิตสงบยามพบเห็น

ให้รู้ตัวและรู้ใจอะไรเป็น

รู้ประเด็นใดซ่อนหลอนตาเรา


เพราะบางสิ่งสีแสงช่วยแปลงให้

คอยหลอกใจให้โทษถ้าโฉดเขลา

ได้รอดพ้นพราะพกพาปัญญาเชาว์

รู้ทันเท่าทุกสิ่งสรรพ์ที่มันเป็น

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ตามอารมณ์


 ในบางครั้งทำท่าหน้าขรึมขรึม

ตีลูกซึมเรียบเรียบทำเงียบเฉย

ไม่สื่อร้อนหรือเย็นเช่นใดเลย

ทั้งไม่เผยในจิตคิดอะไร


ก็เหมือนคนทั่วไปมิได้แปลก

ที่รู้แยกอิริยาบถปลดเงื่อนไข

ทั้งยิ้มแย้มแกมฉงนปะปนไป

เปลี่ยนเมื่อใจตีความตามอารมณ์


วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ทำใจ


 ไม่มีเรื่องอันใดให้ครุ่นคิด

เพียงแต่จิตไม่นิ่งเที่ยววิ่งพล่าน

จึงจำต้องกรองคำแก้รำคาญ

บันทึกผ่านเครื่องมือที่ถือไว้


ดูเหมือนการทำใจทำไม่ยาก

แต่ลำบากมากจริตที่จิตไหว

จำต้องค่อยปล่อยบ้างให้ช่างใจ

เพียงแต่ไม่ใฝ่ต่ำทำหลงทาง

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ลมและคลื่น


 พริ้วลมไล่คลื่นพริ้วเหนือผิวน้ำ

เหมือนจะย้ำส่วนงามในความหมาย

ระยิบระยับวับแววช่างแพร้วพราย

คลื่นลมถ่ายจังหวะผ่านประสานกัน


ความรุนแรงเคยปรากฏก็ลดน้อย

เมื่อต่างค่อยคิดอ่านสมานฉันท์

เหมือนจะก้าวสู่ยุคแห่งการแบ่งปัน

กำแพงชั้นจะทะลายแล้วหายไป

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ไปเรื่อยๆ


 วันเวลาพาวัยไปเรื่อยเรื่อย

เมื่อไม่เหนื่อยเดินต่อก็เดินไหว

มีพลังยังไม่หน่ายเรื่องหายใจ

ก้าวต่อไปทางชีวิตไม่คิดท้อ


โชว์หน้าตาแต่ตีนกาก็มาด้วย

ภาพไม่สวยแต่หุ่นดีท่าทีหล่อ

คนโพสต์เองชมเองนักเลงพอ

กำลังจ่อเข้าวัยเพชรเจ็ดสองตัว

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

สมมุติว่า"หลงเงา"




 ไม่หลงทางหลงท่าหลงป่าเขา

แต่หลงเงาตัวเองน่าเกรงขาม

เพราะเงาใหญ่กว่าตัวแม้ชั่วยาม

ให้ครั่นคร้ามเงาทำไมใหญ่กว่าตัว


แท้ปมด้อยคอยแสร้งแกล้งฮึกเหิม

ราวจะเติมส่วนที่ขาดวางมาดมั่ว

ใหญ่ไม่จริงก็ย่อมไม่มีใครกลัว

นอกจากหัวใจของผู้ครองเงา

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เที่ยว


 ประสบการณ์ ผ่านตาหู ได้รู้เห็น

เก็บไว้เป็น วัตถุดิบ ได้หยิบฉวย

ในคราวเขียน ความคำ อาจอำนวย

ปัจจัยช่วย ให้คิดเห็น ประเด็นงาม


มีโอกาส ก็เดินทาง ไปต่างถิ่น

เผื่อยลยิน หลายเรื่อง รุ่งเรืองอร่าม

ให้ตาหู รู้รวมแยก สิ่งแปลกนาม

ไปเห็นยาม ยังไปได้..หายใจเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2565

หันหลังให้




 หันหลังให้หลายอย่างในทางผ่าน

ทั้งเหตุการณ์หลายเหตุประเภทฝัน

เคยหลอกตัวหลอกหัวใจในบางวัน

หลงยึดมั่นให้สนองความต้องการ


เมื่อเป็นอยู่รู้เท่าทันทุกฝันแล้ว

ก็เดินแนวสงบสง่าอย่างกล้าหาญ

ตัวกิเลสเหตุตัณหาเป็นกว่ามาร

คอยรังควาญคอยผจญใจคนเรา

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ลุงชาญ คือ LanChung


 ถ้าถามว่าวันนี้ดูดีไหม

ตอบว่าใช่ดูดีกว่าที่เห็น

ทั้งสุขกายสบายดีที่ตนเป็น

ยังอยู่เย็นสงบเงียบเรียบเรียบดี


ไม่อวดแรงแข่งขันชั้นเชิงชีพ

ไม่เร่งรีบเร็วรุกทุกวิถี

เป็นอยู่อย่างเจียมกมลเท่าตนมี

สุขเท่าที่สุขได้ไร้กังวล


ถึงไม่รู้อยู่นานถึงปานไหน

ก็อยู่ไปเท่าอยู่ได้ไม่หวังผล

เพียงรู้ทันทุกเหตุกิเลสตน

แล้วหลุดพ้นทุกสถานเป็นการดี

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ทีมทัวร์หลีเป๊ะ


 หอบความรัก หนักอึ้ง มาถึงนี่

เพื่อมอบแก่ คนดี ที่เห็นเห็น

ผู้ร่วมผ่าน เรื่องราว หนาวร้อนเย็น

หล่อรวมเป็น สายใย ผูกใจกัน


ให้ทุกคน สุขกายใจ  ไม่รู้จบ

ได้พ้องพบ สิ่งดีงาม เหนือความฝัน

ทั้งทางโลก ทางธรรม ล้วนสำคัญ

รู้เท่าทัน สิ่งที่เห็น ทุกเป็นไป


จึงความรัก ที่มอบมา ว่าได้รัก

ด้วยใจจัก ส่งคิดถึง ซึ่งสดใส

ประหนึ่งสาย โซ่ทอง มาคล้องใจ

คล้องเอาไว้ กับมิตร นิจนิรันดร์

คนธรรมดา




ไม่สำคัญ ว่าตนแกร่ง เรี่ยวแรงมาก
ที่คอยลาก ตัวตนไป ในทุกแห่ง
ไม่อยากเป็น หรือทำ ฝืนสำแดง
ไม่แทรกแซง จุ้นจ้าน งานใดใด

สงบเสงี่ยม เจียมตน เป็นคนสมถะ
ได้จังหวะ ละกิจกรรม ทำงานใหญ่
ไม่ถือเปลือก เลือกนิยาม ความเป็นไป
ให้แก่นใน ตัวของตน คือคนธรรมดา

สงบๆ




ถึงแม้อยู่สงบเงียบและเรียบง่าย

กับความหมายของสงบที่พบเห็น

แม้บางทีสงบกว่าคนธรรมดาเป็น

กับความเย็นแต่ชื่นฉ่ำอย่างล้ำลึก


เหมือนทะเลในยามที่ไม่มีคลื่น

มองราบรื่นและงดงามความรู้สึก

ให้สงบสว่างจิตความคิดนึก

ลดความคึกคะนองในหัวใจคน


คิดดี ดี


 ในความมืดยังมีที่สว่าง

ในความห่างยังมีชิดสนิทสนม

ในความด้อยก็ยังมีดีให้ชม

ในโศกตรมยังมีสุขล้อทุกข์ทน


เมื่อมีมุมให้มองเกินสองด้าน

ควรกล้าหาญมองไปในทุกหน

เมื่อความคิดไม่ติดลบกลบตัวตน

ย่อมก้าวพ้นทุกวิกฤติเพราะคิดดี

คลื่น


 


ใจของเราบางทีมีคลื่นแทรก

ใจอาจแหลกเพราะต้านทานไม่ไหว

แต่ถ้าเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป

ทุกคลื่นไม่ยั่งยืนสักคลื่นเลย


ถึงเวลาสงบสงัดปัจจัยเอื้อ

ไม่มีเรือไม่มีลมขย่มเสย

ทะเลเงียบคลื่นไม่มีเหมือนที่เคย

ท้องฟ้าเผยเปิดฟ้าน่าชื่นชม


เหมือนชีวิตที่ผ่านกันดารคลื่น

รู้หลับตื่นตามจังหวะจะเหมาะสม

เมื่อถึงคราวใจแกร่งทวีมีแหลมคม

ก้าวพ้นปมทุกวิถีคลื่นชีวิต

ใหญ่รอย


 ไม่ได้เก็บเรื่องราวไว้กล่าวถึง

กับวันซึ่งล่วงเลยเพียงเคยเห็น

ที่ผ่านมาก็เพียงผ่านการอยู่เป็น

ใช่ประเด็นให้หลงตัวหลอกหัวใจ


ไม่หลงรอยหรอยชื่อเพื่อลืออ้าง

ไม่หลงทางยึดแฝงตำแหน่งไหน

ไม่หลงถ้อยสรรเสริญเยินยอใด

ไม่หวั่นใครจะติฉินกล่าวนินทา


เมื่อเรื่องราวเหตุการณ์ได้ผ่านพ้น

เลยวังวนเกินอวดแรงแกว่งใจหา

เลิกเป็นปลื้มลืมผลงานที่ผ่านมา

คงคุณค่าด้วยสิ่งใหม่ในปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2565

รู้ในใจตนเอง

 


เก็บทุกความ รู้สึก ที่นึกคิด

จะถูกผิด ก็รู้ใน ใจตนเสมอ

มีทั้งส่วน ขาดเกิน ส่วนเยิ่นเย้อ

เมื่อใจเจอ ก็กำหนด จดจำไว้


ทั้งบาปบุญ กรรมเวร ล้วนเป็นสื่อ

ให้เลือกถือ เพื่อแนวทาง สว่างไสว

สร้างสิ่งดี ที่สว่าง อยู่กลางใจ

จิตผ่องใส สงบเย็น ก็เป็นพอ


ไม่ต้องทำ ให้ชีวิต ติดสิ่งหรู

ไม่ต้องอยู่ เหนือใคร ที่ไหนหนอ

แต่อยู่อย่าง คนมีรัก คอยถักทอ

โดยการก่อ เมตตา เกื้อการุญ