มีเรื่องเล่าว่ามีหลวงพ่อองค์หนึ่งชอบทำอะไรแปลกๆ
วันหนึ่งในเทศกาลกฐิน มีชาวกรุงเทพฯ เอากฐินไปทอดที่วัด คณะกรรมการวัดได้จัดงานกันใหญ่โต มีมหรสพ หนัง ลิเก ดนตรี ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน ก่อนทอดกฐิน มีผู้คนมารวมกันเต็มศาลา
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง แล้วเอาเชือกมาด้วย หลวงพ่อจัดการเอาก้อนเนื้อผูกติดกับหลังหมาผูกเสร็จก็ปล่อยหมา
หมาเห็นก้อนเนื้ออยู่บนหลังก็ไล่งับ พอหัวกระโดดงับตัวก็ขยับหนี เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง ยิ่งกระโดดงับเร็ว ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว หมากระโดดงับไม่หยุด ก้อนเนื้อก็หนีไม่หยุด
น่าสงสารหมามาก หมากระโดดอยู่นาน งับเท่าไหรก้อนเนื้อก็ไม่เข้าปากสักที
ผู้คนบนศาลาพากันหัวเราะชอบใจหัวเราะเยาะหมาว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้ ไล่งับจะกินเนื้อที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทันตลอดชีวิต
หลวงพ่อมองดูผู้คนที่พากันหัวเราะสนุกสนานจนหนำใจแล้ว ก็แก้เชือกออกจากหลังหมาแล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า
"มนุษย์เรามีความรู้สึกว่าตัวเองพร่อง ตัวเองยังไม่เต็ม ต้องเติมอยู่ตลอดเวลา เติมไม่หยุดเพื่อให้ตัวเองเต็ม
เราอยากสวยอยากทันสมัยไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด ทันสมัยที่สุดใส่ ดีใจได้เดือนเดียวมีรุ่นใหม่ ออกมาอีกแล้วสวยกว่าทันสมัยกว่า
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ซื้อเสร็จสามเดือนรุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว
ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด สองเดือนต่อมามีรุ่นใหม่กว่าออกมา ของเราตกรุ่น
ซื้อรถเบนซ์ทันสมัยที่สุดแพงมาก ขับได้หกเดือนมีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้วทันสมัยกว่าแพงกว่า ของเรากลายเป็นเชย
เราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวันทั้งคืนหาเงินมาเพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ มือถือใหม่ คอมพิวเตอร์ใหม่ รถยนต์คันใหม่ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น
ปัจจุบันเรากำลังไล่งับความทันสมัยเหมือนหมาที่่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน ทั้งที่รู้ว่าต่อให้ไล่งับทั้งชีวิตก็ไม่มีทางตามทัน น่าสงสารไหมโยม"
คนเต็มศาลาซึ่งเมื่อสักครู่ได้หัวเราะครึกครื้นด่าว่าหมามันโง่ตอนนี้เงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่